ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร งานเขียน เกี่ยวกับการลงทุน"วิวัฒนาการของการเก็งกำไร"

0 ความคิดเห็น
ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานเป็นตลาดกระทิงนั้น หุ้นที่มักได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักลงทุนรายย่อยก็คือ “หุ้นเก็งกำไร” หุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้นเก็งกำไรนั้น ผมขอให้คำนิยามอย่างง่ายที่สุดก็คือ เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายหมุนเวียนสูงมากเมื่อเทียบกับหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดที่เรียกกันว่า Free Float ตัวอย่างเช่น บริษัทมีหุ้นทั้งหมด 1,000 ล้านหุ้น แต่มีหุ้นเพียง 300 ล้านหุ้นที่อยู่ในมือของคนเล่นหุ้นหรือมีหุ้น Free Float อยู่ 300 ล้านหุ้น ที่เหลือเป็นหุ้นของเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มักจะไม่ขายออกมาในตลาด ถ้าหากหุ้นตัวนี้มีปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันสูงถึง 300 ล้านหุ้น แบบนี้ก็แปลว่าคนที่เล่นหุ้นตัวนี้มีการซื้อขายเร็วมาก กล่าวคือ โดยเฉลี่ยแล้วจะซื้อและถือหุ้นเพียงวันเดียวก็ขายแล้ว พวกเขาซื้อเพราะหวังที่จะได้กำไรอย่างรวดเร็วจากการที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นในวันเดียว คนที่เล่นหุ้นตัวนี้ส่วนใหญ่แล้วไม่ต้องการถือยาวเพื่อรอกำไรและปันผลที่จะตามมา
ปริมาณการซื้อขายหุ้นสูงขนาดไหนจึงจะถือว่าเข้าข่ายเป็นหุ้นเก็งกำไรนั้นผมไม่สามารถบอกได้เพราะมันขึ้นอยู่กับ “ดีกรี” ของการเก็งกำไรของหุ้นตัวนั้น ๆ ถ้าเป็นหุ้น “ตัวเล็ก” มี Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นไม่ถึง 10,000 ล้านบาท แต่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นติดอันดับหนึ่งในสิบของตลาดเป็นประจำหรือบางวันเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดในตลาด แบบนี้ก็ต้องเรียกว่าเป็นหุ้น “เก็งกำไรรุนแรง” และนี่คือหุ้นที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือ ข้อสังเกตของผมที่เคยเห็นหุ้นเก็งกำไรมายาวนานว่ามันมี “วิวัฒนาการ” อย่างไร
ประการแรกที่ผมเห็นและน่าจะเป็นสิ่งที่จะยังอยู่ต่อไปอีกนานก็คือ หุ้นเก็งกำไรนั้นมักจะเป็นหุ้นตัวเล็กและ/หรือมี Free Float น้อย นี่เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนและก็คงเปลี่ยนได้ยาก เพราะหุ้นที่ตัวใหญ่หรือมี Free Float สูงนั้น เป็นเรื่องยากที่จะ “ไล่ราคา” หรือ “ทำราคา” ให้วิ่งได้เร็วหรือง่าย
ประการที่สองที่ผมเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือมี “วิวัฒนาการ” ของการเก็งกำไรชัดเจนก็คือ ในอดีตนั้น “สปอนเซอร์” หรือคนที่เป็น “ผู้นำ” ในการเก็งกำไรนั้น มักจะมีเพียงรายเดียวหรือเพียงสองสามรายที่เป็น “รายใหญ่” ที่มีชื่อเสียงในตลาดหุ้น แต่ปัจจุบันนั้น คนที่เป็น “ผู้เล่นหลัก” ในหุ้นเก็งกำไรแต่ละตัวนั้น มักจะมีหลายคนหรืออาจจะเรียกว่า “เล่นกันเป็นกลุ่ม” และมักจะรวมถึงคนที่มี “ชื่อเสียง” ในวงการด้วย
ประการที่สาม หุ้นเก็งกำไรในอดีตนั้น มักจะเป็น “หุ้นเน่า” คือเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่เลวร้าย เพียงแต่อยู่ในอุตสาหกรรมที่อาจจะร้อนแรงและสปอนเซอร์หรือเจ้าของบริษัทที่อาจจะร่วมมือด้วยช่วยกัน “สร้างข่าว” กระตุ้นราคาหุ้นตลอดเวลาพร้อม ๆ กับการซื้อขายหุ้นนำเพื่อสร้างราคาหุ้นให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในปัจจุบัน หุ้นเก็งกำไรนั้น มักจะเป็นหุ้นที่พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่จะต้องเป็นกิจการที่มีผลประกอบการไม่แน่นอน มีช่วงเวลาที่เลวร้ายและช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ สลับกันไป และช่วงเวลาที่จะนำหุ้นมาเล่นเก็งกำไรก็คือ ช่วงที่บริษัทกำลังมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยมหรือเป็นช่วงขาขึ้นของบริษัท
ประการที่สี่ ในอดีตนั้น การ “โปรโมตหุ้น” เพื่อกระตุ้นราคาหุ้นนั้น มักจะเป็นการ “ปล่อยข่าว” ไปตามห้องค้าแบบ “ปากต่อปาก” หรือบางกรณีก็ผ่านสื่อที่เป็นหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์หุ้นที่ออกเป็นรายวัน แต่ในปัจจุบัน การโปรโมตหุ้นนั้น ทำกันในทุกสื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางอินเตอร์เน็ตและทางโทรศัพท์มือถือที่เป็นสื่อสังคมทั้งหลาย และเนื้อหาของสิ่งที่ใช้นั้นก็ไม่ใช่เพียงแต่ “ข่าว” แต่รวมถึงการวิเคราะห์หุ้นแบบลึกซึ้ง “น่าเชื่อถือ” ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ในปัจจุบัน ผู้บริหารต่างก็ออกมาช่วย “ยืนยัน” กับนักลงทุนโดยตรงว่า กิจการนั้นกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างโดดเด่น เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากอดีตที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ หรือเนือย ๆ มานาน
ประการที่ห้า ในอดีตนั้น เจ้าของบริษัทมักจะต้อง “เปิดไฟเขียว” หรือเข้าร่วมในกระบวนการเก็งกำไรด้วย แต่ในปัจจุบันนั้น อาจจะไม่จำเป็น ขอเพียงเจ้าของไม่มา “ขัด” ก็พอแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด การที่หุ้นราคาดีมีสภาพคล่องสูง มันก็เป็นผลประโยชน์กับเจ้าของ ดังนั้น เจ้าของก็ไม่อยากทำลายสถานการณ์นั้นอยู่แล้ว
ประการที่หก ในอดีต หุ้นเก็งกำไรมาก ๆ นั้น เมื่อ “หมดรอบ” สปอนเซอร์หรือรายใหญ่ได้ขายหุ้นทำกำไรไปแล้ว การตกต่ำลงของราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นจะลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก เหตุผลคงเป็นเพราะพื้นฐานของหุ้นไม่ดีตั้งแต่เริ่ม ดังนั้น นักเล่นหุ้นต้องรีบขาย “หนีตาย” ก่อนที่ปริมาณการซื้อขายจะหดหายไปเกือบหมด ในปัจจุบันนั้น เนื่องจากหุ้นเก็งกำไรหลายตัวหรือส่วนใหญ่มักมีผลประกอบการที่ยังดีอยู่แม้ว่าราคาจะวิ่งไปเกินพื้นฐานมาก แต่การที่กำไรยังมีและน่าจะยังดำเนินต่อไประยะหนึ่ง ดังนั้น คนที่ถือหุ้นไว้ก็ยังมีความหวัง ดังนั้น การลดลงของราคาและปริมาณการซื้อขายจึงไม่รุนแรงเท่ากับหุ้นเก็งกำไรในอดีต นอกจากนั้น ระดับราคาที่สูงยังมักจะสามารถดำรงอยู่ยาวกว่าในอดีตมาก
สุดท้าย ก็คือ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จสูงในช่วงที่ตลาดบูม มักจะสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ผลตอบแทนสูงลิ่วเป็นร้อย ๆ เปอร์เซ็นต์ต่อปีและอาจจะหลายปีติดต่อกัน หลายคนกลายเป็น “เทพ” มีชื่อเสียงในวงการเล่นหุ้นและลงทุน สถานการณ์แบบนี้มักจะจบลงเมื่อตลาดหุ้นที่เริ่มกลายเป็น “ฟองสบู่” แตกตัวลงและราคาหุ้นตกต่ำลงอย่างหนักต่อเนื่องยาวนาน ในสถานการณ์แบบนั้น นักเก็งกำไรจำนวนมากต้องขาดทุนและเสียหายอย่างหนักโดยเฉพาะจากการใช้มาร์จินเล่นหุ้น จำนวนมากออกจากตลาดและกลับไป “ทำมาหากิน” อย่างอื่น แต่บางคนที่สามารถหลีกเลี่ยงหายนะและรักษาความมั่งคั่งที่สะสมไว้ได้กลายเป็น “เสี่ย” ที่จะยังอยู่ในตลาดต่อไปและพร้อมกลับมาอีกเมื่อสถานการณ์ตลาดกลับสู่ภาวะปกติ
สำหรับนักเก็งกำไรรายเล็กที่เล่นหุ้น “รายวัน” อดีตเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังเหมือนเดิม พวกเขาคอยดูทุกเช้าว่า “เขาเล่นตัวไหน” ในวันนี้ พวกเขาพร้อมซื้อและขายทุกวันและทุกนาที ในยามที่ตลาดหุ้นยังดีและสปอนเซอร์ยังเล่นกันอยู่ พวกเขาก็มักจะมีกำไรติดไม้ติดมือไปบ้าง แต่ในช่วงที่ตลาดกำลังลงและผู้นำทยอย “ถอย” ออกจากตัวหุ้น คนจำนวนมากก็จะขาดทุน โดยรวมแล้ว นักเก็งกำไรรายย่อยก็มักจะขาดทุนโดยเฉพาะเมื่อคิดรวมถึงค่าคอมมิชชั่นที่ต้องเสียไปค่อนข้างมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นักเก็งกำไรรายย่อยก็จะไม่หนีหายหรือไม่หมดไป เขาพร้อมกลับมาเล่นใหม่ กับหุ้นเก็งกำไรตัวใหม่ กับ “ความหวังใหม่” เหนือสิ่งอื่นใด นี่คงเป็นจิตวิทยาที่ฝังอยู่ในยีนส์ของมนุษย์ นั่นคือ มนุษย์นั้นมีสัญชาติญาณของการ “เก็งกำไร”

การลงทุน

0 ความคิดเห็น
การลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น จะมีการวิเคราะห์ด้วยกัน 2 แบบ คือ การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ และการวิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยการวิเคราะห์เชิงปริมาณนี้ ก็หนีไม่พ้นต้องวิเคราะห์จากงบการเงิน โดยวิเคราะห์งบการเงินย้อนหลังให้มากที่สุด เท่าที่ข้อมูลเราจะหาได้
ในงบการเงินนั้นจะประกอบไปด้วยข้อมูลทางการเงินที่สำคัญๆ คือ งบดุล(Balance Sheet) งบกำไรขาดทุน (Income Statement) งบกระแสเงินสด(Cash Flow Statement) และหมายเหตุประกอบงบการเงิน (Note to Financial Statement) ข้อมูลทั้งหมดนี้จะต้องใช้ร่วมกัน ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้
งบดุล จะให้ข้อมูลว่า ในช่วงเวลางวดบัญชีหนึ่งๆบริษัทมีสินทรัพย์ หนี้สินและทุน มากน้อยเท่าไร มีความมั่นคงเพียงใด
สังเกตง่ายๆว่า หากหนี้สินมากกว่าทุน แสดงว่า บริษัทนี้กู้เงินมาลงทุนเป็นส่วนใหญ่ และมักจะมีภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยและใช้คืนเงินต้นมากมายและยาวนานหลายปี สินทรัพย์ที่มีเกือบทั้งหมดจะเป็นสิทธิของเจ้าหนี้ รายได้ที่ทำมาหาได้จากการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่จะเป็นของเจ้าหนี้ ส่วนที่เหลือถึงจะตกมาถึงผู้ถือหุ้น บริษัทนี้หากเกิดวิกฤติขึ้นมา มักจะเกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน
ในทางกลับกัน หากบริษัทมีหนี้น้อย รายได้ส่วนใหญ่จะเป็นของผู้ถือหุ้น สินทรัพย์ที่บริษัทมีจะเป็นสิทธิของผู้ถือหุ้นอย่างเต็มที่
บริษัทที่ Value Investor ชอบ ก็คือ บริษัทที่ไม่มีหนี้สิน หรือมีน้อยมาก เพราะปลอดภัยและรายได้ที่หาได้เป็นของผู้ถือหุ้น
“งบกำไรขาดทุน” จะให้ข้อมูลว่า บริษัทได้ดำเนินกิจการในช่วงเวลางวดบัญชีหนึ่งๆ มีรายได้จากการดำเนินงานมาจากอะไรบ้าง มีต้นทุนเกิดขึ้นเท่าไรบ้าง ในงบกำไรขาดทุนนี้จะมีการบันทึกบัญชีการได้ค่าใช้จ่ายแบบคงค้าง คือได้ขายสินค้าให้แก่ลูกค้าไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงิน เมื่อส่งสินค้าแล้วถือว่า ได้ขายออกไปแล้ว
ดังนั้น เวลาวิเคราะห์งบการเงินต้องทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ในการบันทึกบัญชีให้ละเอียดว่า บริษัทมีนโยบายในการบันทึกบัญชีอย่างไร..?
“งบกระแสเงินสด” จะประกอบไปด้วยข้อมูลทางการเงิน 3 ส่วน คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน กระแสเงินสดจากการลงทุน และกระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ให้ข้อมูลที่ปรับจากเกณฑ์คงค้างในงบกำไรขาดทุนมาเป็นเกณฑ์เงินสด เราจะได้ข้อมูลว่า ในช่วงเวลางวดบัญชีหนึ่งๆนั้น บริษัทขายสินค้าแล้วสามารถเก็บเป็นเงินสดได้มากน้อยเท่าไร ทั้งนี้ จะมีการปรับรายการที่ไม่ใช่เงินสดออกจนหมด เช่น ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร อุปกรณ์ สินค้าคงเหลือต่างๆ และข้อมูลอีกมาก
ส่วนกระแสเงินสดจากการลงทุน จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัทว่า ในเวลางวดนั้น บริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปในเรื่องใดบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าใด
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน ให้ข้อมูลว่า บริษัทจัดหาเงินมาใช้ลงทุนและดำเนินกิจการจากแหล่งใด กู้มาหรือใช้ทุนเดิมหรือเพิ่มทุน
ผมอยากจะยกตัวอย่างง่ายๆ กับการสังเกตงบการเงินเพื่อการลงทุนที่ปลอดภัย หลายท่านคงจะจำกรณี“หุ้น ROYNET” กันได้ดี หรือหากเป็นนักลงทุนใหม่คงจะต้องกลับไปค้นกันหน่อยครับ เพราะกรณีนี้โด่งดังมากและทำให้นักลงทุนกลายร่าง ปีกงอกเป็นแมงเม่ากันมากมาย จน ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ต้องลงมาจัดการกันจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต จนทุกวันนี้ยังไม่จบเรื่องเลยครับ
รายการนี้นักลงทุนหลายคนเจออาการที่เรียกว่า ผีหลอกกลางวัน ครับ กำไรอยู่ดีๆตั้งสองไตรมาส 10.2 ล้านบาท ก้าวกระโดดจากขาดทุนสุทธิ 11.19 ล้านบาทในปีก่อน แล้วกลับมาเป็นขาดทุนสุทธิ 36.7 ล้านบาทในไตรมาส 3 ขาดทุนสะสมแล้ว 71ล้านบาท
ก่อนหน้านั้นบริษัทรายงานว่า บริษัทพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้อย่างมากมาย จัดว่า “ก้าวกระโดด” เลยก็ว่าได้ ที่มาของอาการผีหรอกก็ไม่มีอะไรมากครับ ผู้บริหารแกล้งทำเป็นไร้เดียงสาบันทึกรายได้เร็ว(เกิน)ไป(ไม่)หน่อยครับ แต่แล้วก่อนประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 พวกท่านก็เกิดรู้เดียงสาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยนำหุ้นของพวกในตระกูลท่านที่มีอยู่ 60% ของทุนจดทะเบียน เข้าไปขายให้แมงเม่าทั้งหลายจนหมดสิ้น
พอ…งบออกเท่านั้นแหละครับ ซากแมงเม่าก็กองเกลื่อนไปทั่วตลาดหลักทรัพย์
ผมลองเข้าไปดูงบย้อนหลังดูพบว่า บริษัทฯขายชั่วโมง Internet แบบฝากขาย บริษัทย่อยให้บริการอี-คอมเมิร์ซและเป็นที่ปรึกษาเรื่องการออกแบบ website และการรับรู้รายได้ก็เปิดเผยอย่างชัดเจนในหมายเหตุประกอบงบการเงินในข้อที่ 3 สรุปนโยบายการบัญชีที่สำคัญ หัวข้อย่อยที่ 3.1 บริษัทรับรู้รายได้ดังนี้
3.1.1 รายได้จากการขายบันทึกรับรู้ เมื่อส่งมอบสินค้า
3.1.2 รายได้จากการฝากขายบันทึกรับรู้ เมื่อได้รับการชำระเงิน
แต่ในงบกำไรขาดทุนมีหัวข้อ รายได้จากการขาย รายได้จากการให้บริการ รายได้ดอกเบี้ย รายได้อื่นๆ ไม่มีหัวข้อรายได้จากการฝากขาย จึงเป็นช่องทางให้ผู้บริหารเล่นแร่แปรธาตุได้อย่างง่ายดาย โดยผู้สอบบัญชีเองก็ไม่อาจตรวจพบได้ (อันนี้ไม่รับรองนะครับ)
เรื่องของเรื่อง คือ บริษัทเร่งรับรู้รายได้จากการฝากขาย ทั้งๆที่ยังไม่ได้รับชำระเงินเป็นจำนวนมากทั้ง 2 ไตรมาส จนไตรมาส 3 ผู้สอบบัญชีทนไม่ได้ จึงทำการปรับงบการเงินให้สะท้อนภาพความเป็นจริง ซึ่งเป็นเหตุให้แมงเม่าวงแตกกระเจิง
โดยไตรมาส 1 รับรู้รายได้ 24 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 6.9 ล้านบาท ไตรมาส 2 รับรู้รายได้ 23.4 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3.24 ล้านบาท
ทีนี้ มาดูที่งบกระแสเงินสด ผมพบตัวเลขในหัวข้อ ลูกหนี้การค้าและตั๋วเงินรับ ในไตรมาสแรกประมาณ 22 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่ประมาณ 34,738 บาท ในไตรมาส 2 งวด 6 เดือนประมาณ 42.25 ล้านบาท เทียบกับงวด 6 เดือนของปีก่อนหน้าที่ประมาณ 504,143 บาท พอมาในงวด 9 เดือน ตัวเลขเหล่านี้ถูกปรับใหม่จนมีสภาพดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
อย่างที่ยกตัวอย่างมานี่แหละครับ แค่เรื่องการรับรู้รายได้แค่นี้ ก็ทำร้อนไปตามๆกัน เหตุการณ์นี้บอกให้รู้ว่า งบการเงินนั้น หากเราวิเคราะห์และสังเกตให้ดีๆ มันคือแหล่งข้อมูลที่จะบอกพิรุธได้อย่างมาก แต่ก็น้อยคนจริงๆที่จะใส่ใจดูกัน
สำหรับผมและเพื่อน Value Investor อีกหลายท่านมุ่งเน้นว่า ต้องรู้เรื่องธุรกิจให้ชัดเจนทุกขุมขนเลย มีความรู้เรื่องบัญชีเล็กน้อยแต่ให้สังเกตและตั้งข้อสงสัยให้มากไว้ แล้วหาคำตอบให้ได้ก่อนการลงทุน จะปลอดภัยครับ
จุดสังเกต ‘งบการเงิน’
Value Way
มนตรี นิพิฐวิทยา

"Dropbox"…แชร์ข้ามโลก ยกระดับชีวิตโมบายล์ : ประชาชาติธุรกิจ

0 ความคิดเห็น
เคยถึงเขียนถึง Dropbox บริการคลาวด์สตอเรจของฝรั่งมาตั้งแต่เมื่อสมัยเปิดให้บริการใหม่ๆ ขอเอากลับมาฉายซ้ำอีกเที่ยว เพราะถึงตอนนี้ดูเหมือนว่า อุปกรณ์พกพาตั้งแต่ โทรศัพท์มือถือ เน็ตบุ๊ก แท็บเลต ทำให้แต่ละวันของคนจำนวนมากกลายเป็นชีวิตแบบโมบายล์ไลฟ์มากยิ่งขึ้นทุกที และด้วยความสามารถของอุปกรณ์พกพาเหล่านี้ มันไม่เพียงทำให้เราออนไลน์เมื่อไรที่ต้องการก็ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้เราทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา
คนจำนวนไม่น้อยทำงานนอกสถานที่ หรือระหว่างเดินทาง และทำงานประสานกับคนอื่นๆ
Dropbox เป็นบริการที่เข้ามาเชื่อมประสานให้สะดวกยิ่งขึ้น ถ้าพูดอย่างง่ายๆก็คือ บริการพื้นที่เก็บไฟล์ ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนจะธรรมดา แต่ความจริงมันล้ำไปกว่าบริการพื้นที่เก็บไฟล์ตามปกติ ต่างไปจากบริการรับฝากไฟล์ที่นิยมใช้กัน เวลาจะแจกไฟล์ให้คนอื่นไปดาวน์โหลด
Dropbox ให้พื้นที่ฟรีสำหรับผู้ใช้งาน เริ่มต้น 2 GB
เมื่อเราลงทะเบียนใช้งาน ติดตั้งโปรแกรมลงบนเครื่อง ก็จะมีโฟลเดอร์ที่ชื่อว่า Dropbox เพิ่มขึ้นมา 1 โฟลเดอร์ในฮาร์ดดิสก์ของเรา ไฟล์อะไรก็ตามที่เราเก็บไว้ในโฟลเดอร์ Dropbox จะถูกส่งเก็บไว้ในกระบวนการ sync ระหว่างคอมพิวเตอร์ของเรากับเซิร์ฟเวอร์ของ Dropbox
เราสามารถเข้าถึง Dropbox จากที่ไหนก็ได้ ด้วยอุปกรณ์อะไรก็ได้ที่สนับสนุน ไม่ว่าจะจากเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเลต
จะใช้วินโดวส์ แมค ลีนุกซ์ ไอโฟน ไอแพด แอนดรอยด์ สามารถเข้าถึงไฟล์ในดรอปบอกซ์ของเราได้หมดจากทุกที่ ที่สามารถออนไลน์ได้
จริงๆแล้วทุกวันนี้ งานที่ผมเขียนคอลัมน์ บทความต่างๆ เซฟไว้ในดรอปบอกซ์หมด ด้านหนึ่งเป็นหลักประกันว่าฮาร์ดดิสก์เจ๊ง งานก็ไม่หาย ไม่ต้องไปนั่งกู้ให้เสียเวลา และสามารถใช้เครื่องมืออะไรก็เข้าถึงงานได้หมดจากทุกที่ด้วย
ส่วนที่ “ล้ำ” ไปกว่านั้นของดรอปบอกซ์คือ การ “แชร์” ครับ
คนทำงานในสำนักงานจะเข้าใจเรื่องการแชร์โฟลเดอร์ได้เป็นอย่างดี ดรอปบอกซ์ ก็ทำอย่างนั้นได้ ถ้าเราเปิดแชร์โฟลเดอร์ในนั้นเอาไว้ แต่แชร์ดรอปบอกซ์นั้น เราสามารถกำหนดเองว่าจะแชร์ให้กับใคร โดยไม่ต้องการความรู้ทางเทคนิคขั้นสูง
แต่ที่ล้ำไปกว่าคือ มันแชร์ข้ามโลก ไม่ได้แชร์เฉพาะในระบบแลน
ไม่ต้องมาส่งเมล์แนบไฟล์กันให้เสียเวลา และไม่ต้องมาคอยส่งลิงก์ให้ไปดาวน์โหลด
Dropbox.com ครับ ลองเข้าไปใช้งานกันดู ถ้ามีบริการอย่างนี้ในเมืองไทยกันเองก็น่าจะดีกว่า
Dropbox…แชร์ข้ามโลก ยกระดับชีวิตโมบายล์
โดย siripong@kidtalentz.com

ข้อคิดแก้ความยากจน

0 ความคิดเห็น
1. อย่าฟุ่มเฟือย
2. จงกินอยู่ใช้ให้พอดีพอเพียง
3. อย่าเสียรู้ไปค้ำประกัน
4. จงทำงาน อย่าว่าง เพราะจะใช้เวลาว่างไปเสียเงิน
5. จงปฏิเสธให้เป็นบ้าง กรณีคนมายืมเงิน
6. หัดทำบัญชีค่าใช้จ่าย เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุการใช้เงินฟุ่มเฟือย
7. อย่าทำโก๋ อวดศักดิ์ศรี ดีกว่าเพื่อน โดยการซื้อของมาประดับบารมี
8. จงเจียมตน ถ่อมตน
9. จงขยันหาทรัพย์
10. จงหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้
11. ปลูกบ้านไม่ใหญ่เกินตัว อย่ามีทีวีเพราะตามเพื่อน
12. อย่ารับภาระครอบครัวคนอื่น ๆ จนเกินตัว
13. โทรศัพท์เท่าที่จำเป็น คุยเพ้อเจ้อ ไม่เห็นมีธุรกิจอะไร ยิ่งคุยนานยิ่งเสียเงินมาก
14. วิเคราะห์คุณค่าแท้คุณค่าเทียมในการเลือกซื้อโทรทัศน์ และรถยนต์
15. ระวังเรื่องความอยาก เดี๋ยวนี้เขาล่อให้เราซื้อสินค้าและบริการด้วยของแถม ของฟรี จำไว้ในธุรกิจไม่มีใครให้เราฟรีหรอก
16. จงแบ่งเงินเป็นส่วน ๆ ไว้เลี้ยงตนเองและครอบครัว เอาไปตอบแทนคุณพ่อคุณแม่ ออมไว้เพื่อฉุกเฉิน เก็บไว้ลงทุนต่อทรัพย์ และทำบุญบ้าง
17. หากยังไม่มีวินัยในการใช้เงินหรือคุมใจตนเองไม่ได้ ห้ามใช้บัตรเครดิต
18. รู้จักการใช้ คาถาหัวใจเศรษฐี อุ - อา - กะ - สะ คือ รู้จักหา รู้จักรักษา พบเพื่อนดี และทำตนพอดี พอประมาณ
19. หากมีหนี้ ก็ต้องบริหารหนี้ด้วยว่าคุมอยู่
20. จงใช้หลัก PDCA ในการบริหารการเงินของครอบครัว
21. ฝึกนิสัยให้ลูก ๆ รู้จักการออมการประหยัดตามหลัก "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท"?
22. อย่าตามโลก ให้เข้าใจคำว่า "บริโภคนิยม" สิ่งนี้แหละพาจน
23. ตามแฟชั่น เปลี่ยนรถยนต์บ่อย ๆ ซื้อเสื้อผ้าตามแฟชั่นเป็นการเสียเงินโดยไม่จำเป็น
24. ค่าใช้จ่ายหนัก ๆ ในชีวิตครอบครัวมี 3 อย่าง คือ ค่าเล่าเรียนลูก ค่าปลูกบ้าน และค่ารถยนต์ใช้งาน จงเลือกแต่พอดีสมฐานะ
25. เรื่องเงินเรื่องทอง ต้องรู้จักรายได้รายจ่าย
- ช่วงอายุน้อย วัยเรียน ใช้เงินพ่อแม่ มีแต่รายจ่ายรายได้ไม่มี
- ช่วงอายุวัยทำงาน รายได้มากกว่ารายจ่าย
- ช่วงอายุวัยหลังเกษียณ รายได้ลดลง แต่รายจ่ายยังเพิ่มขึ้นไม่หยุด เพราะเจ็บป่วยยามชรา (เครื่องเริ่มชำรุดก่อนตาย)
26. สูตรจำนวนเงินออมที่เหมาะสม
เงินออม > (1/10) (อายุ) (เงินรายได้ทั้งปี)
27. ยิ่งอายุมากจะต้องเก็บเงินมากขึ้น เพราะบ้านก็ผ่อนหมดแล้ว เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ลูกก็จบเรียนไปหลายคน
28. ลูกมากจะยากจน หญิงก็ได้ ชายก็ดี มีแค่สอง
29. หลักการออม
สูตร 1 รายได้ - รายจ่าย = เงินออม
หลักการคิดก็คือ เงินเหลือจ่ายเท่าไรก็เป็นเงินออมเท่านั้น
สูตร 2 รายได้ - เงินออม = รายจ่าย
หลักการคิด พอเงินเดือนมาก็เก็บเงินส่วนหนึ่งเลยแล้วบริหารค่าใช้จ่ายตามส่วนที่จัดไว้ มีมากก็ใช้มาก มีน้อยก็ใช้น้อย
30. หลักการบริหารเงินรวม 6 ขั้นตอน
1) ออม 6 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำ
2) จ่ายหนี้แพงสุดก่อน
3) ประกันชีวิต
4) ออมทรัพย์กับกองทุนเลี้ยงชีพ
5) ประกันสุขภาพ และอุบัติเหตุ
6) เงินเหลือไปลงทุน
31. หัดทำอาชีพเสริม ขายของบ้าง กำไรน้อยก็ยังดี เพราะไม่มีเวลาไปใช้เงินและไม่ฟุ้งซ่าน
32. หลีกเลี่ยง และเลิกอบายมุข มูลเหตุแห่งความล่มสลายทางด้านการเงิน
33. ทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นก็ขายไปบ้าง เอามาใช้เป็นเงินหมุนเวียนเหมือนพัสดุคงคลังที่ไม่เคลื่อนไหวต้องขายทิ้ง
34. กรณีจำเป็นต้องกู้เงินต้องหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
35. หลีกเลี่ยงการกู้เงินนอกระบบ เพราะดอกเบี้ยแพงแล้วยังทำสัญญาเกินเงินกู้จริงมาก ๆ อีกด้วย
36. จำไว้เสมอว่า หากเราบริหารไม่ดี คนจนก็จะยิ่งจนลง เป็นหนี้ก็ทำให้ไม่สบายใจ
37. หัดออกกำลังกายไว้ด้วย หากสุขภาพไม่ดีก็จะทำให้เจ็บป่วยและต้องใช้เงินอีก
38. อย่าเล่นการพนัน ไฟไหม้บ้านยังเหลือพื้นดิน เล่นพนันเสียเงินหมดทั้งบ้านทั้งที่ดิน
39. กินเที่ยวเกินความจำเป็น ไม่ดี
40. อย่าหารายได้เสริมด้วยวิธีค้ายาเสพติด หรือโจรกรรม
41. จงประมาณตน อย่าประพฤติตน เช่น?
- เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง
- รายได้น้อยรสนิยมสูง
42. มีเมียมากก็พาจน (บางคนบอกว่ามีเมียรวย ๆ ก็ดี)
43. การลงทุน เห็นคนอื่นทำแล้วรวยเราทำตามปรากฏว่า เจ๊ง เช่น ทำร้านอาหารแบบเพื่อชีวิต คนไม่เข้าร้านเหมือนเขาเลย
44. อยากเป็นหนี้ ให้เป็นนายหน้า อยากเป็นขี้ข้า ให้เป็นนายประกัน
45. หาคู่ครองต้องพิจารณาให้ดี
- มีเมียดี เก็บเงินเก่ง ก็รวย
- มีเมียถลุงเงินเก่ง ก็จน
- ปลูกเรือนผิดคิดจนเรือนทลาย มีเมียผิดคิดจนตัวตาย
46. จงพอประมาณ
- ซื้อรถตามฐานะ
- แต่งเมียพอเป็นหลักฐาน
- จัดงานศพไม่ฟุ่มเฟือย
- บวชลูก อย่าจัดงานใหญ่
47. ระวังติดนักร้อง จะพาครอบครัวพังทะลาย และพายากจน
48. สุขภาพไม่ดี ก็เสียเงินมาก (ให้โรงพยาบาล)
- กินเหล้าจนไตวายตับแข็ง
- หาโรคมาใส่ตัว
49. จงพึ่งพาตนเองเป็นหลัก คนที่คิดหวังพึ่งคนอื่น จะรวยยาก
50. ทรัพย์ย่อมได้มาด้วยความอดทน ขยัน ซื่อสัตย์ และรู้จักประมาณ
51. ทรัพย์ที่กล่าวมานี้เป็นอามิสทรัพย์ ทรัพย์ทางโลก ทางวัตถุ เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในการดำรงชีพ แล้วทำให้ปลื้มใจ ทรัพย์ที่แท้จริงเป็นอริยทรัพย์ ประกอบด้วย ศรัทธา (เชื่อ) หิริ (อายบาป) โอตตัปปะ (กลัวบาป) พาหุสัจจะ (ฟังมาก) จาคะ (เสียสละ) ศีล (วินัย) และปัญญา (ความรู้)
ที่มา: พุทธวิธีบริหาร (Buddhist Style in Management)
สมหวัง วิทยาปัญญานนท์

http://www.budmgt.com/topics/top01/poormgt.html

ข้อดี ข้อเสีย การเปรียบเทียบ เกี่ยวกับ การออม vs การลงทุน

0 ความคิดเห็น
เมื่อเรามีเงินเหลือใช้เป็นประจำทุกเดือน สิ่งที่เราควรคำนึงถึง คือ เราจะจัดการกับเงินเหลือใช้นั้นอย่างเหมาะสมได้อย่างไร เพื่อให้งอกเงยเพิ่มมากขึ้น โดยทั่วไปเรามักจะเก็บในรูปเงินสด หรือฝากธนาคาร บริษัทเงินทุน ซึ่งเราจะเรียกวิธีการนี้ว่า "การออม" หรือถ้าใช้วิธีการซื้อทองรูปพรรณ ทองแท่ง หรือที่ดินเก็บไว้ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ หุ้น หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ ก็จะเข้าลักษณะที่เรียกว่า "การลงทุน"



saving การออม คือ การเก็บสะสมเงินทีละเล็กทีละน้อยให้พอกพูนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งการออมส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปของเงินฝากกับธนาคาร หรือบริษัทเงินทุน โดยได้รับดอกเบี้ยเป็น **ผลตอบแทน**
invest การลงทุน คือ การนำเงินที่เก็บสะสมไปสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการออม โดยการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือหลักทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งจะมี ความเสี่ยง ที่สูงขึ้น


การเปรียบเทียบระหว่างการออมและการลงทุน





การออม การลงทุน
วัตถุประสงค์ เป็นการสะสมเงินเพื่อให้พอกพูนในระยะสั้น เผื่อไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน เป็นการสะสมเงินให้งอกเงยต่อเนื่องในระยะยาว
วิธีการสะสม เงินฝากธนาคาร และบริษัทเงินทุน ลงทุนในพันธบัตร หุ้นกู้ หุ้น กองทุนรวมกองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ความเสี่ยง ความเสี่ยงต่ำ(เนื่องจากรัฐบาลค้ำประกันเงินฝากทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเต็มจำนวน) มีความเสี่ยงมากน้อยตามประเภทและลักษณะของหลักทรัพย์ที่ลงทุน ในปัจจุบันถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าการฝากเงิน
ผลตอบแทน ดอกเบี้ย ดอกเบี้ย เงินปันผล และ/หรือ ผลกำไรหรือ ขาดทุนจากการลงทุน
ข้อได้เปรียบ มีสภาพคล่องสูง ได้รับผลตอบแทนในระยะยาวสูงกว่า
ข้อเสียเปรียบ ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ มีโอกาสขาดทุนจากการลงทุนได้